วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตอนที่๑ กำเนิดบ่าวเอ็ม

กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีชื่อว่า “บ่าวเอ็ม” จำนวน ๒ ถัง เดินผ่านกองปุ๋ยหมัก และขวดเก็บน้ำส้มควันไม้ ที่ส่งสายตามองด้วยความหวังว่า “บ่าวเอ็ม” คงจะทำงานนี้ได้สำเร็จน้ำส้มควันไม้อดที่จะกล่าวทักบ่าวเอ็มก่อนผ่านไปว่า “น้องบ่าวเอ็มจ๊ะ มีปัญหาอะไร ให้ส่งข่าวมา แล้วพี่กับพี่ปุ๋ยหมักจะตามไปช่วย” บ่าวเอ็มหันหน้ากลับมายิ้มแต่ในดวงตามีความวิตกกังวนที่มิอาจซ่อนไว้ได้ “ครับผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
บ่าวเอ็มขึ้นรถจักรยานยนต์คนเก่า ๆ โดยนั่งบนกระสอบป่านที่เย็บให้เป็นที่เก็บสิ่งของต่างๆ ของชาวสวนยาง ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำยาง ปิ่นโต น้ำ เครื่องตัดหญ้า ฯลฯ ก็จะใช้กระสอบข้างนี้ล่ะเป็นเครื่องมือในการนำพา บ่าวเอ็มนั่งมองดูสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นยาง แต่ก็มีต้นมะพร้าวสลับกันไปบ้าง

ต้นมะพร้าว นี่แหล่ะที่เป็นต้นกำเนิดของบ่าวเอ็มโดยใช้จ้าวมะพร้าวกับน้ำมะพร้าวผสมกับกากน้ำตาลหรือบางครั้งก็เติมน้ำตาลอ้อย หรือบางครั้งก็มีผลกล้วยที่สุกลงมาผสมปนเปไปด้วย มีถังที่มีฝาปิดเป็นบ้านพักโดยอยู่ในนั้นเหมือนเข้าค่ายพักแรม เพราะต้องอยู่กันนานถึง ๓ เดือน มีอากาศในถังนิดหน่อย น้ำตาลนี่เองที่เป็นอาหารให้บ่าวเอ็มกำเนิดเกิดขึ้นมาได้ บางทีก็เห็นคนมาเปิดให้เห็นแสงสว่างพร้อมเอาจมูกมาดม ๆ เวลาที่บ่าวเอ็มมีกลิ่นตัวออกเปรี้ยวๆ คนก็หมักจะเอาน้ำตาลมาเติมให้กินอยู่เสมอๆ วันก่อนเห็นมีคนเอาหนังสือมาวางไว้บนถัง เลยอ่านดูเห็นเค้าเขียนว่า
วิธีการหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์ อ่านดู ก็ไม่เข้าใจ มันต้องมีผลไม้บ้าง ดินในป่าลึกบ้าง น้ำตาลบ้าง กากน้ำตาล บางทีมีไปถึงการชื้อหัวเชื้อจุลินทรีย์มาอีก งงๆ กับเค้าจริง ๆ บ่าวเอ็มนึกถึงภาพวันเก่าๆ ที่เป็นจุดกำเนิดตนเอง ที่มีเพียงน้ำมะพร้าว จ้าวมะพร้าว น้ำตาลทรายแดงบ้าง น้ำตาลอ้อยบ้าง กากน้ำตาลบ้าง กล้วยสุกบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็อยู่รอบข้างบ่าวเอ็มเอง แต่ก็นึกแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมไอ้น้ำตาลขาวๆ สวยๆ เค้าไม่เอามาให้เรากินบ้างน่ะ
นั้งรถมาเพลินๆ ก็ต้องลงเห็นคนเค้าหิ้วเราขึ้นควนไปอีกพักหนึ่ง เดินผ่านต้นยางสัก ๑๐ โสดเห็นจะได้ แล้วก็มาถึงสุดยอดก็ควนได้ยินเสียงแฮ่ๆ ของคนที่หิ้วขึ้นมา ชีวิตแกเป็นอย่างนี้ทุกวันหรือป่าวคงลำบากหน้าดู และแล้วฝาถังก็ถูกเปิดออกบ่าวเอ็มสูดหายใจเข้าเต็มปอด หน้าที่ของเรามาถึงแล้ว หน้าที่ที่ต้องปรับปรุงบำรุงดินทำให้ให้ดินมีชีวิตขึ้นมาให้จงได้
สภาพดินในตอนนี้มองซ้ายทีขวาทีก็ไม่เห็นใครๆเลย นานๆ จะมีมดผ่านมาสักที ว่าแล้วคนที่หิ้วและทำเรามาก็ขุดดินลงไปสองถึงสามหน้าจอบ เอาเศษใบไม้แถวนั้นใส่ลงไปแล้วก็ยกเราราดลงไป แล้วก็เอาใบไม้มาทับอีกที พร้อมถมดินลงมาพอที่จะมีอากาศผ่านเข้ามาได้ แถมยังเอาเศษไม้ใบมาคลุมข้างบนอีกที แหมมันสบายจริงๆ
“สวัสดีจ๊ะบ่าวเอ็ม” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนที่แสนอบอุ่นดังขึ้น
“ใครนะ ใคร?.”
“ฉันเอง ดินไง หรือที่ใคร ๆ เรียกฉันว่า พระแม่ธรณี”
บ่าวเอ็มหันไปมองพร้อมกับก้มลงกราบเท้าแม่ธรณี ในทันได้ เสียงฮือ ๆ ดังกึกก้อง กิ่งใบยางโน้มก้มลงสะดุดี ชื่นชมต่อบ่าวเอ็มทีรู้จักรักและมีความเคารพต่อพระแม่ธรณี พระแม่ธรณีที่ไม่เคยดุด้าว่าร้ายใคร พระแม่ธรณีคือที่รองรับเท้าทุกคนเมื่อเดินก้าวแรก ทุกอย่างไม่ว่า น้ำลาย เยี่ยว ขี้ ขยะ ฯลฯ ที่ราดใส่เทใส่พระแม่ธรณี มิหน่ำซ้ำยังจุดไฟเผาเข้าให้อีก หลายครั้งที่คนกระทำเช่นนั้นไม่รู้ถึงคุณค่าก็ไม่เป็นไร แต่คนที่ต้องการศัยพื้นดินในการทำกินของภาคเกษตรควรคิดให้จงหนัก “เกษตรบ้านเราทำผิดมาตลอด ผิดตั้งแต่เรา ปลอกเปลือก เปลือยดิน” คำที่ได้ยินว่าอ.ยักษ์เคยพูดถึงใน สือชุดคนหวงแผ่นดิน บ่าวเอ็มนึกถึงความหลัง
“ลุกขึ้นเถอะบ่าวเอ็ม” พระแม่ธรณีโอบกอดบ่าวเอ็มด้วยความเอ็นดู
“ที่เจ้ามานี่ก็ดีแล้ว เพราะเจ้าทำให้องค์ประกอบของดินดีขึ้น เพราะดินเองจะดีได้ต้องอาศัย เนื้อดิน ๔๕ เปอร์เซ็นต์ น้ำ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ อากาศ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเจ้า ๕ เปอร์เซ็นต์”
“พระแม่ธรณีครับ ทำไมผมมีค่าน้อยจังเลยครับ”
“ไม่น้อยหรอก นั้นคือองค์ประกอบของดิน มีแค่นี้ก็พอแล้ว หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปก็ไม่สมบูรณ์ เช่นถ้าขาดน้ำดินก็จะแข็ง น้ำมากก็กลายเป็นโคลน”
“แล้วทำไมเค้าเอาผมมาใส่ที่นี้ล่ะครับ”
“ถ้าดูจากวิธีการใส่ เป็นการปรับปรุงดิน เพราะการขุดดินลงมา เพื่อต้องการเก็บเจ้าใว้ที่จุดนี้ การเอาเศษใบไม้มาถมเจ้า เพื่อสร้างบ้านให้เจ้าอยู่ และเศษใบใม้ที่ถมอยู่ข้างบนสุดนั้น เรียกกว่าการห่มดิน ทำให้ดินมีสภาพร้อนและชื้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อต้นไม้ต่อไป”



“แล้วอะไรที่ต้นไม้เค้ากินไปเพื่อให้เจริญเติบโต เพื่อให้ดอกให้ผลล่ะครับ”
“ฮื่อ ๆ เจ้านี่ถามมากจริงๆ คงจะซนหน้าอยู่” เสียงที่ใหญ่ก้องดังออกมาจากต้นยางขนาดใหญ่ที่มีรอยกรีดเป็นแผล เป็นร่องลอยของการกรีดเอาเนื้อหนังออกไปแทบทั้งต้น
“สวัสดีครับลุง” บ่าวเอ็มทักทาย
“เออ ไหว้พระเถิดว่ะ เอ็งนี้คงจะทำให้พวกข้าดีขึ้นบ้างน่ะ”
“จริงๆ ด้วยดีใจจัง เย้ ๆๆๆ” เสียงจากต้นยางกว่า ๑๐ ต้น ร้องทักอย่างดีใจ
“มันจะได้เรื่องหรือว่ะ กับไอ้แค่น้ำหมักเน่าๆ เนี๊ย” ต้นยางอีกต้นที่มีสภาพรอยกรีดแล้วหยุดไปนาน มีร่องรอยก็คราบดำ ๆ ที่เป็นเชื้อรา หรือยางหน้าตาย ทักขึ้นอีกคน
“เอาน่า เด็กมันตั้งใจมาแล้วก็ลองดูกันไปก่อน” พระแม่ธรณีทักให้ทั้งสองไม่ต้องเถียงกัน
“เอาอย่างนี้ไม๊ ฉันว่าทำให้คนที่พาเจ้าบ่าวเอ็มมา พูดคุยกับเราด้วยดีไม?”
“ดีครับ ดี หากมีอะไรที่ผมทำไม่ได้ จะได้บอกเค้าไปถึง พี่น้ำส้มควันไม้ และพี่ปุ๋ยหมัก ที่อยู่ข้างล่างครับ” บ่าวเอ็มพูดอย่างดีใจ
“เดี๋ยวมันก็หัวโก๋นกันพอดี ยิ่งตอนมันมากรีดน้ำพวกเรา ตีสามตีสี่” ยางหน้าตายพูดเยอะขึ้นมา
พระแม่ธรณี “ไม่หรอกเวลาเค้าจะเยี่ยวก็ยังขอโทษขอโพย เทวดาฟ้าดินเป็นประจำ”
“นี่พระแม่ธรณี ฝากบอกเค้าด้วยน่ะ เวลาเยี่ยว ให้ไปที่ต้นอื่น บ้าง จะมาปวดเยี่ยวอะไรที่ต้นของผมทุกที” เสียงจากยาง โสด ก ต้น ๔ พูดมาใกลๆ
พระแม่ธรณียิ้ม แล้วว่าคาถาออกไป
“เจียมใด๋โอ๊ใด๋เจียมตะนำ เจียมใด๋โอ๊ใด๋เจียมตะนำ เจียมใด๋โอ๊ใด๋เจียมตะนำ”
ทันใดท้องฟ้าก็มืด พร้อมกับสายฝนที่โปรยลงมา ลมพัดโชยกลิ่นน้ำหมักชีวะภาพที่ชื่อบ่าวเอ็ม หอมอบอวนไปทั่วบริเวณ คนที่พาเจ้าบ่าวเอ็มขึ้นมารับรู้ได้ว่า บัดนี้พระแม่ธรณีรับทราบถึงการกระทำในครั้งนี้แล้ว พร้อมกับกล่าวทักทายพระแม่ธรณี แล้วนั้งลงพูดกับบ่าวเอ็มว่าถ้าบ่าวเอ็มทำสำเร็จก็จะเกิดกระบวนการนี้ขึ้นว่าแล้วก็เปิดวีดีโอข้างล่างให้บ่าวเอ็มดู



เป็นไง การทำให้ดินมีชีวิตมีผลดีอย่างไร"
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปทีต้นยางหน้าตายพูดว่า
“ยางหน้าตาย อีกไม่นานจะคงจะหายเป็นปกติ และก็จะสบายตัวขึ้น” และกลับมาหยิบถังเดินออกไป
“เดี๋ยว ๆ เจ้า ๆ เจ้าชื่ออะไร?”
ชายผู้นั้นในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว ที่เปรื้อเปือนด้วยขี้ยางใส่รองเท้าบูท หันกลับแล้วพูดว่า
“ผมชื่อ สื่อครับ สื่อ ผู้จะนำเรื่องราวเสียงจากป่ายางไปเล่าต่อให้คนอื่นๆ ฟัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น