วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตอนที่๓ ในใจของสื่อ

หลังจากที่สื่อคุยกับพระแม่ธรณีแล้วก็เดินกรีดยางเรื่อยๆ จนถึงโสดสุดท้าย ที่โสด ก ซึ่งเป็นโสดที่ได้ส่งบ่าวเอ็มขึ้นมาทำหน้าที่ สภาพทั่วไปก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่น้ำยางก็ออกมากขึ้นแต่ก็ไม่มากจนผิดสังเกตุ อาจจะเป็นเพราะฝนตกด้วยก็ได้ สื่อนั่งคิดเพลิน ๆ ก็มีเสียงทักขึ้น
“สวัสดีครับพี่สื่อ” เสียงจากบ่าวเอ็มกล่าวทักทาย
“ครับบ่าวเอ็ม เป็นไงบาง”
“ก็ดีครับ มีใบไม้เยอะมาอยู่ใต้นี้อบอุ่นดี มีมดมาเยอะขึ้นทีแรกก็ไม่เห็นน่ะ แต่พอสองสามวันผ่านไปก็เริ่มมากัน”
สื่อ... “สงสัยได้กลิ่นหวานจากน้ำตาลมั้งเลยมา”
“ใช่ครับก็มาขนเอาเศษจ้าวมะพร้าวบ้างกล้วยบ้าง ได้แล้วก็ขุดดินลงไปเอาอาหารไปเก็บไว้ในบ้านที่อยู่ใต้ดิน”
สื่อ.. “นั้นซิน่ะ มดเองก็มีประโยชน์ใส้เดือนก็มีประโยชน์ แมลงต่างๆ ก็มีประโยชน์ แต่คนหลายๆ คนไม่รู้จักใช้ประโยชน์ของมัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้หากอยู่ในที่เหมาะสมจำนวนพอดีๆ ไม่มากไปไม่น้อยไปก็จะเป็นเครื่องมือให้การพรวนดินได้เป็นอย่างดี เมื่อสิ่งเหล่านี้อยู่ในดิน ดินก็สามารถรับน้ำ และอากาศในชั้นใต้ดินได้”
มด เป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มีจำนวนชนิดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนของโลก มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน ทำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่นๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์ เนื่องจากมดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดมดหรือกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษะเฉพาะของสัตว์ในวงศ์นี้(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
ไส้เดือนลักษณะโดยทั่วไปของไส้เดือนดิน มี อยู่ทั่วไปตามดินชุ่มชื้นร่วนซุย แต่ตามเมืองใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยป่าคอนกรีต เราอาจจะพอหาดูได้ตามบริเวณสวนหย่อมหน้าบ้านที่มีใบไม้ทับถมอยู่มาก ๆ และตามพื้นดินที่เป็นแหล่งกองขยะอินทรีย์หรือเศษอาหารจากตลาดหรือชุมชน มัน จะคืบคลานหากินอยู่ตามผิวดินและชอนไชไปตามซอกหลืบของเม็ดดิน ปกติมันจะกินเศษใบไม้และพืชผักเป็นอาหาร ทั้งนี้สังเกตได้ว่าหลังจากที่ไส้เดือนขึ้นมาบนพื้นดินเพื่อหาอาหารกินแล้ว จะพบเศษใบไม้และพืชผักปกคลุมอยู่ตามรูที่มันอาศัยอยู่ นอกจากนี้มันยังกินซากของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เน่าเปื่อย รวมทั้งสัตว์เล็ก ๆ อย่างแมลงและตัวอ่อนของแมลงได้อีกด้วย มันจึงถูกจัดอยู่ในสัตว์จำพวกกินทั้งพืชและสัตว์ (Omnivorous) เป็นอาหาร ซึ่งมี วงจรชีวิต ผูกพันธุ์กับดิน ระบบนิเวศที่ดี จะช่วยให้ การแพร่กระจายพันธุ์ เป็นไปด้วยดีเช่นกัน
การ ชอนไชของไส้เดือนทำคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น คือทำให้ดินโปร่งร่วนซุย ไม่แน่นทึบและแข็ง เกิดการถ่ายเทอากาศภายในดินดีขึ้น เพิ่มช่องว่างในดิน ช่วยในการอุ้มน้ำของดิน การไหลผ่านของน้ำในดินทำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ จึงเหมาะแก่การแทงรากออกไปหาอาหารของพืช และผลจากกระบวนการกินอาหารของไส้เดือนยังช่วยพลิกกลับดินหรือนำแร่ธาตุจาก ใต้ดินขึ้นมาบนผิวดิน โดยดิน ซากพืชซากสัตว์ เศษอาหาร และอินทรียวัตถุต่าง ๆ ที่ไส้เดือนกินเข้าไป จะถูกย่อยสลายและถูกขับถ่ายออกมาเป็นมูล (cast) ซึ่ง มีธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณมากและอยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม และธาตุอาหารอื่น ๆ รวมทั้งช่วยส่งเสริมในการละลายธาตุอาหารพืชที่อยู่ในรูปอนินทรีย์สารที่พืช ใช้ประโยชน์ไม่ได้ไปอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ไส้เดือนยังช่วยกำจัดแมลงและตัวอ่อนของแมลง เช่น หนอนเจาะลำต้นลองกอง หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระทู้หอม ตัวอ่อนด้วงหมัดผัก เป็นต้น การเจริญเติบโตของพืชเบื้องบนจึงเป็นผลมาจากการทำงานเบื้องล่างของไส้เดือน ทุกอย่างสอดคล้องกันไปตาม บทบาทหน้าที่ของไส้เดือนจำนวนมหาศาลใต้ผิวดินทั่วโลก ซึ่งทำประโยชน์ให้กับมวลมนุษย์อย่างประเมินค่ามิได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า "ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ดินและพืช"(ข้อมูลจากกลุ่มผู้เลี้ยงไส้เดือนแห่งประเทศไทย)
บ่าวเอ็ม....“แหมสิ่งมีชีวิตในดินนี้ดีจริงๆน่ะครับ แล้วเรื่องอย่างนี้คนทั่วไปไม่รู้หรือครับ”
สื่อ.... “รู้ซิมีหลายคนรู้ รู้แต่ไม่ทำ? ในหนังสือพระมหาชนกตอนบนเรือก่อนที่จะล่มลงไปมีผู้คนอยู่ ๕ คนซึ่งมีผู้ถอดรหัสว่าไว้อย่างนี้ครับ
๑.หัวไวใจสู้ พวกนี้คือรับรู้เร็วคิดเร็ว ทำเร็ว ศึกษาหาความรู้
๒.รอดูทีท่า พวกนี้จะแอบดู หรือคอยดูพวกแรกก่อน ถ้าทำดี ก็ตาม แต่ถ้าเหลวก็อาจจะมีหัวเราะซ้ำหน่อยๆ
๓.เบิ่งตารอคอย พวกนี้ก็เห็นกันบ่อยๆ หาได้ไม่อยากเช่นพอมีงบประมาณมาทีก็เฮกันที หลายๆครั้งที่มีงบประมาณสนับสนุนลงมาพวกนี้แหล่ะครับที่ได้ก่อน ไม่ได้รู้ฟ้าดินอะไรเลย บ้านตัวเองลักษณะน้ำซับน้ำซึม ที่ราบที่ดอนยังไม่รู้ หากบ้านตนอยู่ที่ดอนเค้ามาแจกปลาก็ไปเอา บ้างบ้านน้ำซึมเค้าแจกพรรณไม้ให้ก็ไปเอา
๔.เหงาหงอยจำเจ่า พวกนี้ประเภทไม่ค่อยทำอะไร รอว่าพวกมาจะลากไปทางไหน บางทีเค้าก็พาไปทางที่ดี แต่พอเจอปัญหาก็นั้งบ้างนอนบ้าง เดินกลับบ้าง
๕.ไม่เอาไหนเลย กลุ่มนี้อย่าอธิบายเลยเห็นได้ทั่วไปตามงานบุญ งานศพ เมาอย่างเดียวไม่ค่อยจะทำอะไร
ครับก็เป็นการถอดรหัสจากเรื่องพระมหาชนก หรือก็มีข้อคิด ข้อชวนให้คิด ข้อที่คิดได้ทันที ข้อที่เป็นจริงในปัจจุบัน ข้อที่อาจจะเกิดในอนาคต ทั้งนี้ผู้ที่ยังไม่เคยอ่านก็หาๆ อ่านกันดูครับ โดยเฉพาะองค์กรที่มีส่วนที่มีหน้าที่บทบาทที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยแท้จริง”
“สุดยอดไปเลยครับ” บ่าวเอ็มปรบมือแบบใช้มือไขว้กันเพื่อเกิดเสียงดังกังวาน มากกว่าการปรบมือแบบตรงๆ หรือทำมือเหมือนการไหว้
“แล้วที่พี่ สื่อ พูดมา มันเกี่ยวกับพวกเราอย่างไร”
ทันใดนั้นเหล่าต้นยางก็กิ่งใบสะพัดขึ้น พร้อมมีเสียงกล่าวจากพระแม่ธรณีว่า
“นั้นซิ เจ้าจงขยายความให้ชัดเจนในเรื่องที่เจ้าจะทำเถิดพ่อสื่อ ว่าเจ้ามุ่งหวังสิ่งใดอันเป็นแรงปราถนาของเจ้า”
สื่อ..... “พระแม่ธรณีและพ่อแม่พี่น้องชาวต้นยางที่เคารพรักทุกต้นครับ อ้ายกระผม !!!!....”
“หยุดก่อน หยุดก่อน”......เสียงจากต้นยางโสด ก ๓เบรกขึ้นแล้วว่า
“ขึ้นประโยคนี้ ฟังดูดี แต่ดูๆไปสมัยนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว มันเหมือนสังคมอีกสังคมหนึ่งที่ฟังแล้วดูเหมือนใกล้ แต่ความจริงมันไกลมาก ดีน่ะที่ไม่พูดว่า ท่านประธานที่เคารพ แล้วก็ใช้จังหวะเวลาช่วงนั้น พูดจาอะไรไปเรื่อยๆ ไม่เข้าเรื่อง อาศัยเพียงแต่คิดว่าพูดไปแล้วตนเองดูดี ดูเก่ง มีวาทะศิลป์ ตอนประธานทักแล้วก็ไม่หยุด แถมยังมีลูกเล่นในคำพูดคล้ายๆ กับว่าท่านประธานที่เคารพนั้นก็เคยขอข้าวขอน้ำตนเองกินไปเสียอีก เอาเป็นว่าเรียกพ่อ เรียกแม่ เรียกพี่ เรียกน้องเฉยๆดีกว่าน่ะ บางทีหากข้อความนี้ไปสู่สังคมที่เรียกว่านักการเมือง การจะทำให้บรรยากาศการปรองดองก็ด้วยคำพูดนี้แหล่ะใช้ได้แล้ว เช่นฉันเป็นประธานที่มีอาวุโสทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ สมาชิกเวลาอภิปรายก็น่าจะใช้คำว่า ปู่ ก๓ ครับ หลานสื่อคิดว่า อย่างนั้นอย่างนี้ หรือ ถ้ามีต้นยางต้นหนึ่งตนใด ไปเป็นนายกสวนยาง ก็เรียกพี่ เรียกน้อง เรียกลุงก็ดี เช่น น้องนายกครับพี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ หรือเวลมีอะไรพาดพิง ก็พูดว่าพี่ ก ๔ ครับ น้องว่าที่พี่ ก ๖ พาดพิงมามันไม่จริงอย่างนั้นอย่างนี้ บรรยาศในการประชุมก็คงจะดี อีกอย่างพูดกันมากเหลือเกินเรื่องกฎหมายโลก ศาลโลก มันหาความยุติธรรม ที่จะเลือกใช้ให้ตรงกับตนเองไม่ได้ เช่น ปลาก็อยู่แบบปลา นกก็อยู่แบบนก จะเอากฎหมายของนก มาเพื่อตัดสินวงสังคมของปลาไม่ได้ แม้อยู่บนโลกเดียวกันก็ตาม ต้องดูที่มาที่ไป แต่เค้าก็ไม่ได้ห้ามนี่ครับว่าเราจะเป็นผู้นำในเรื่องประชาธิปไตยของโลกไม่ได้ แม้เกิดมาหลังก็ตาม แต่เราต้องหาให้เจอะว่าหัวใจของประชาธิปไตยคืออะไร มิใช่มองอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ควาย เราต้องเห็นควายทั้งตัว มิใช่เห็นเขาควายแล้วชี้ชัดว่าเป็นควาย แบบนี้ไม่ถูกแน่”
“ พอ ๆ พอเถิด เข้าเรื่องดีกว่า” พระแม่ธรณีปรามให้พวกเราเข้าในประเด็น
สื่อ..... “ครับ ๆ พระแม่ธรณี แต่ที่ลุง โสด ก๓ พูดมาก็มีเหตุผลน่าฟังครับ ลองเผื่อว่าได้ผล ม้นก็เกี่ยวโยงกันนั้นล่ะครับวันนี้ที่ผมมาทำตรงนี้เพราะคิดต่างจากคนอื่น สาเหตุในการคิดต่าง ก็เพราะเห็นมากับตา เลยต้องมาทำกับมือ แล้วพูดให้คนอื่นฟัง มันเหมือนกับมีกระจกอนู่ใกล้ๆ กับตัวตลอดเวลา สังคมทุกวันนี้และที่ผ่านมา เป็นแบบสำเร็จรูปมาโดยตลอด เช่น การเรียน ก็ต้องทำตามครูสอน ไปทำมากกว่า ถูกหาว่า รู้มากกว่าครู แต่ถ้าทำไม่ทัน เรียนไม่ทัน ก็กลายเป็นคนโง่ทันที การเรียนรู้ร่วมกันมันน้อยในสังคมการเรียนรู้ที่ผ่านมาของคนไทย การเรียนเพื่อจะได้ออกจากบ้านไปทำงานหาเงินเยอะๆ เป็นเจ้าคนนายคน เป็นที่ปลูกฝังกันมานาน เรื่องนี้หน่วยงานใดทำสถิติอยู่บ้างก็น่าจะนำมาเผลยแผ่กันบางน่ะครับว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ ที่ประสบความสำเร็จ ความสำเร็จในที่นี้หมายถึงได้นำเงินตราที่หาได้มา กลับมาเลี้ยงดูพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูกหลานให้มีชีวิตที่สำเร็จอย่างตนเองได้ ลองดูเถิดครับว่าคนมีความสำเร็จแบบนี้มีกี่มากน้อยเพียงไร วันนี้ที่ผมกระทำอยู่และจะเพียรพยายามทำต่อไปคือการน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฎิบัติจริง โดยมีกระดุมเม็ดแรกคือ อะไรบางที่ตนเองทำได้ โดยอาศัยหลักวิชาที่ทำได้โดยง่ายมีผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ และพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือต่างๆ ในการพัฒนาพื้นดินของตนเองให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ จนมีผลไปยังต้นยางทุกต้น ให้ได้รับแร่ธาตุต่างๆ อย่างครบถ้วนครับ”
พระแม่ธรณี..... “ฟังดูก็เพลินดีน่ะ แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
สื่อ ...... “วันนี้ผมเริ่มจากหาจุลินทรีย์ ต่างๆ ที่ได้มาจากการหมัก มีวิธีง่ายๆ เช่นสังเกตุเชื้อราสีขาว โดยไม่มีกลิ่นเปรี้ยวซึ่งเป็นกรด นำมารดในกองใบไม้บริเวณกลางโสด โดยห่างจากต้นยาง ประมาณ ๑เมตร เพื่อไม่ให้ต้นยางได้รับจุลินทรีย์โดยตรง อาศัยสังเกตุวัชพืชที่โดนรดตรงๆ ว่ามีอาการเช่นไร หากวัชพืชไม่ตาย ก็คงจะไม่เป็นอัตรายต่อต้นยางครับ”
พระแม่ธรณี.... “แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ต้นยางจะได้รับผลที่ดี”
สื่อ..... “ก็ดูจากการสนองตอบจากต้นยางเองครับ เพราะที่ผ่านมาก็รู้ว่าแต่ละต้นให้ผลผลิตขนาดไหนอย่างไร”
พระแม่ธรณี... “เจ้ามีการจดบันทึกเหรอ”
สื่อ..... “ครับ อาศัยประยุกต์จากบัญชีครัวเรือนครับ สังเกตุได้ว่าการกรีดยางนั้น เวลาในการกรีดและเก็บน้ำยางเท่ากัน แต่ปริมาณการให้น้ำยางของแต่ละต้นต่างกัน ดังนั้นหากเราบันทึกประวัติต้นยางแต่ละต้นไว้ ก็ง่ายต่อการทะนุบำรุงในแต่ละต้นได้ครับ บัญชีครัวเรือนเป็นตัวบอกให้เราทราบถึงรายรับในแต่ละวัน ตลอดจนคาดการรายรับที่จะเข้ามาได้ครับ ทำให้รู้ว่าหากเราพัฒนาต้นยางโดยมีสถิติเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติแล้วนั้นทางออกทางแก้คงอยู่ไม่ใกล้ครับ”
พระแม่ธรณี...... “เอาหล่ะ ๆ เป็นกำลังใจให้เจ้าละกัน หากวันใดที่เจ้าท้อถอย ก็ให้คิดถึงพระมหาชนกก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าคงจะไม่ละความเพียรพยายาม”
......สื่อในฐานะคนกรีดยาง ณ วันนี้ ก็จดบันทึกความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโสดยางหลังจากใส่บ่าวเอ็ม หรือ ที่สากลเรียกว่าอีเอ็ม แล้วเก็บน้ำยางเพื่อลงไปขายต่อไป.......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น